จริง ๆ ฮา … นะคะ

ชีวิตช่วงที่สอนโยคะ หนิงรู้สึกว่า ตัวเองเคร่งเครียด เคร่งขรึมกับการสอนมาก มากกว่าชีวิตจริง ๆ จนเกือบลืมไปว่า เฮ้ย! จริง ๆ เราเป็นคนสนุกสนานร่าเริงนะ ไม่ใช่ ทำขรึม เฉยจนเหมือนหยิ่ง 55555 จนเกือบจะเป็นนิสัยไปแล้ว รึป่าว

healthy ning yoga phuket ครูหนิง โยคะ ภูเก็ต

หนิงว่า ปกติตัวเองจะเป็นคนมีมุกตลกอยู่บ้างนะคะ ชอบทำขำ ๆ ให้คนอื่น ๆ ฮาเสมอ (ยกเว้น ช่วงที่ต้องวางมาดบ้าง อิอิ) และเป็นคนที่ค่อนข้างจะขำอะไรง่าย ๆ อ่ะนะ

แต่มา ณ เวลานี้ เนื่องจากเป็นคนที่ขำอะไรง่าย ๆ เนี่ยแหละ เวลาเห็นหน้าตาผู้ฝึกในคลาสหรือท่าทางการฝึกบางท่าก็มีจะแอบขำบ้าง แต่ต้องสกัดกั้นตัวเองไว้ เพราะด้วยความเหมาะสม และเกรงใจผู้ฝึกอ่ะนะ จากที่พยายามสกัดกั้นตัวเองบ่อย ๆ จนตอนนี้เริ่มไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน มันเป็นไปได้ยังไงเนี่ย …. เริ่มฮาไม่ค่อยออก คุยที่ไรเหมือนจะตั้งใจมากไปทุกที เดี๋ยวจะน่าเกรงขามเกินไปละ…

งั้นต่อจากนี้ไป เห็นหนิงแอบยิ้มทำขำบ้างก็ไม่ต้องตกใจนะคะ เนี่ยแหละ….ตัวจริงเค้าล่ะ

PRAN YOGA For CHANGE….

หลังจากที่ได้ตัดสินใจร่วมหุ้นเพื่อเปิดโยคะแห่งใหม่ขึ้น ซึ่งพวกเราก็คิดว่าการรวมตัวครั้งนี้ จะใช้ชื่อว่าอะไรดี คิดว่าควรจะเป็นภาษาที่เรียกง่าย ๆ เพื่อให้ทั้งคนไทยและต่างชาติเรียกแล้วไม่เพี้ยน เป็นคำที่จำง่าย สั้น ๆ มีความหมายดี ๆ สรุปลงตัวที่ “PRAN YOGA” ….

PRAN-for-FB

“PRAN YOGA” เป็นชื่อที่พวกเราคิดว่ามีความหมายที่ดี คือ ลมหายใจ ซึ่งเป็นพลังชีวิต เป็นพลังที่ดีที่ทำให้พวกเรามาร่วมกันเพื่อสร้างสิ่งดี ๆ เผยแพร่ออกไป

จากนั้นมา ก็มาคิดถึง Concept หรือ Slogan ว่า “Pran Yoga” เราเปิดขึ้นมาเพื่ออะไร วันนั้นหนิงจำได้ว่าคิดไปคิดมาเป็นอาทิตย์แล้ว ยังไงก็คิดไม่ออก จนกระทั่งไปนั่งที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในตัวเมืองภูเก็ต แล้วนั่งมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย จึงทำให้คิดถึงคำว่า “CHANGE” เป็นจุดแรก แล้วเปลี่ยนอะไรละ มามองตัวเองทันที ว่าฝึกโยคะแล้วอะไรที่เปลี่ยนบ้าง “ชีวิต” ไง ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ดีขึ้นสุด ๆ แล้วเปลี่ยนแปลงจากอะไรละ โหมันเปลี่ยนเยอะมาก ร่างกายดีขึ้น ความคิดดีขึ้น เยอะอ่ะ จะกลายเป็นเล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะก็เคยเล่าอยู่บ่อย ๆ เท่านั้นแหละ ทำให้ สโลแกน นี้เกิดขึ้นเลย

Pran Yoga

“Change your Breath

Change your Mind

Change your Life”

สำหรับตัวหนิงเองมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะคะ  แค่เปลี่ยนลมหายใจ ที่เข้าลึกออกยาว ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันมีอิทธิพลมากมายกับร่างกายเรา เมื่อภายนอกดีแล้วภายในก็จะดีตาม นั่นก็คือ คิดแต่สิ่งดี ๆ คิดบวก และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากลมหายใจ ความคิด นี่เอง สุดท้ายส่งผลให้ชีวิตเราก็เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น จนคิดว่า หากทุกคนเข้ามาหาโยคะแบบจริง ๆ จัง ๆ พวกเราในทีม “Pran Yoga” มั่นใจว่า การเปลี่ยนลมหายใจ ส่งผลให้เราเปลี่ยนความคิดที่ดี และสุดท้ายส่งให้ชีวิตผู้ฝึกดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

แล้วพบกับ “Pran Yoga” กันนะคะ วันที่ 1 ก.ย. 58 นี้ค่ะ ที่โบ๊ทลากูน ภูเก็ต นะคะ

แรงผลักดัน

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีเรื่องที่ทำให้หนิงค่อนข้างอัศจรรย์ใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มาเป็นอย่างมากค่ะ คือ มีคนมาเรียนโยคะกับหนิงแบบรายครั้ง แล้วหลังจบคลาสเรามีโอกาสได้คุยกัน เขาบอกว่าเขามาจากหัวหิน และจริง ๆ มีเพื่อนรุ่นน้องอีกคนที่อยากเจอ อยากมาฝึกโยคะกับหนิงมาก เพราะน้องเขาไม่สบาย และได้ติดตามบล็อคของหนิงอยู่ทำให้เขามีแรงบันดาลใจ มีแรงผลักดันในการฝึกโยคะ และตอนนี้อาการน้องเขาดีขึ้นมาก ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ได้ฝึกโยคะอยู่ เลยอยากเดินทางมาหาหนิงและมาฝึกกับหนิง ฟังครั้งแรกรู้สึกประหลาดใจมาก ว่าการระบายความรู้สึกของเราด้วยตัวอักษรบนโลกออนไลน์นี้ มันจะมีผลทำให้ใครบางคนมีแรงผลักดันได้ขนาดนั้น มันยิ่งใหญ่มากนะคะ

น่าจะประมาณวันเดียวหลังจากนั้น  หนิงก็ได้มีโอกาสได้คุยกับตัวจริงของน้องเขา เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัวหนิงขอไม่กล่าวถึงอาการป่วยของน้องเขานะคะ ไม่น่าเชื่อว่า แค่การคุยกันในครั้งแรก เราพูดคุยกันเกือบชั่วโมงจากคนที่ไม่รู้จัก ไม่เคยคุยกัน เป็นความรู้สึกที่ดีมากสำหรับหนิง บอกเลยว่าตอนที่คุยอยากร้องไห้มาก มันเป็นอารมณ์ที่ไม่สามารถบรรยาย อธิบายอะไรใด ๆ ได้เลยค่ะ แต่หลังจากวางสาย ต่อมน้ำตาแตกอ่ะ 555555

แต่ในที่สุด ความฝันของเราทั้งสองคนที่จะได้เจอกันก็เป็นจริง ครั้งแรกที่เจอเรากอดกันแน่น หนิงไม่รู้หรอกนะคะว่าน้ำตาเขาออกหรือเปล่า แต่ของหนิงนี่นองเลยค่ะ อิอิ ตลอดเวลาที่เราได้เจอกัน ถึงแม้จะมีเวลาเพียงไม่กี่วัน เรากอดกันเกือบทุกวัน มันเป็นความรู้สึกอบอุ่น รู้สึกดี รู้สึกบอกไม่ถูก ซะงั้น

สิ่งที่หนิงถูกย้ำคือ น้องเขาบอกว่า มีอยู่บางช่วงที่หนิงเงียบหายไป เขาอยากโทรมาถามเหลือเกิน ว่าทำไมไม่เขียน ณ เวลานั้น คำพูดของสามีผุดขึ้นมาในหัวทันที เพราะคุณสามีเคยเตือนหนิงไว้ว่า

หนิงถ้าหนิงเขียนบล็อคและเริ่มมีคนติดตามแล้วสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือ ความมีวินัย มีความรับผิดชอบกับแฟนคลับ (อิอิ แอบใช้คำนี้เพราะรู้สึกดีอ่ะนะ เหมือนเป็นดังไงมะรุ 55555)

แต่บางครั้งก็ยอมรับตัวเองนะคะว่ามันไม่มีอารมณ์ และเรื่องที่อยากเขียนมันสุ่มเสี่ยงกับการกระทบต่อคนอื่น ทำให้ต้องยั้งคิดยั้งทำมาก คิดเยอะขึ้นจริง ๆ ค่ะ เพราะเราเริ่มเปลี่ยนสถานะตัวเองจากผู้เรียน ซึ่งปกติครูผู้สอนก็เป็นต่างชาติ อ่านภาษาไทยไม่ได้ สิ่งที่เราระบายออกก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ คริคริ พอตอนนี้เราเป็นครูจะเขียนถึงผู้เรียน ผู้ฝึก คงไม่เหมาะสม เพราะแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถปรับความคิดใครได้ แค่ตัวเราเองยังเอาตัวลำบากเลยจริงไม๊ค่ะ

แรงผลักดันจากเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้น จนน่าจะเป็นตัวบังคับให้หนิงสานฝันอีกหนึ่งอย่าง ตอนนี้ขออุบไว้ก่อนนะคะ เพราะกลัวว่าถ้าบอกไปแล้วเราทำไม่สำเร็จ หรือมีคนรู้แล้วรอคอย มันจะทำให้ความรู้สึกหนิงแย่ แต่ค่อนข้างมั่นใจนะคะว่าจะทำให้ได้ และทำให้สำเร็จ เพราะเพิ่งได้คุยกับเพื่อนอีกคนว่าสิ่งที่ฝัน เขาบอกว่า

หนิง ทุกคนมีฝันนะ จะมีกี่คนที่จะสามารถทำฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ คำว่า “ฝัน” ไม่ใช่สิ่งที่จะบอกว่ามันประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่เราได้ทำมันแล้วต่างหาก

ฟังแล้ว ยิ่งมั่นใจที่จะก้าวต่อไป อิอิ ผลักกันไปให้สุด ๆ แหะแหะ

โยคะบำบัด(จิต)

บอกเลยจริง ๆ โยคะช่วยบำบัดจิตได้นะ

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

หลาย ๆ ครั้งที่หนิงมีเรื่องที่ต้องคิด มีปัญหาที่ทำให้ขุ่นใจ ยอมรับนะคะว่าเมื่อก่อนก็ต้องใช้เวลา หาวิธีระบายมากมาย แต่ส่วนใหญ่วิธีที่ทำให้คลายได้ก็คือ ได้พูด ๆ บ่น ๆ พ่น ๆ ออกไป ยิ่งเยอะยิ่งหาย 5555 ซึ่งหากเราไม่เลือกคนฟังบางครั้งก็อาจจะส่งผลไม่ดีกลับมาได้เหมือนกัน แต่ก็โชคดีที่ส่วนใหญ่หนิงมักจะเลือกคน แต่ถามว่ามีบ้างไม๊ที่หลุด แหะแหะ ก็จังหวะนั้นอ่ะนะ มันก็ห้ามใจตัวเองยากเหมือนกันก็ไม่ปฏิเสธว่ามีบ้างนั่นแหละ

หลังจากได้มารู้จักโยคะ แรก ๆ หนิงก็ไม่สามารถนะคะ เพราะยังเป็นคนที่ “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” สูงมาก ไม่สามารถบังคับใจตัวเองให้อยู่บนผืนเสื่อได้เลยในช่วงที่เกิดเรื่องใหม่ ๆ (เพราะปกติแล้วเป็นคนที่ไม่ได้เครียดนานนัก อิอิ)  ช่วงหลัง ๆ ก็เริ่มดีขึ้นสามารถควบคุมตัวเองได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่สุด จนกระทั่งตอนนี้ หนิงรู้สึกตัวเองได้อย่างชัดเจนเลยว่า ตั้งแต่ได้เป็น “ครูสอนโยคะ” เวลาที่ได้สอน มันทำให้เราลืมทุกอย่าง ลืมเรื่องที่คิดค้าง ๆ คา ๆ ไว้ ลืมปัญหาที่แก้ไม่ตก ไม่น่าเชื่อเลย ว่าการสอนโยคะช่วยบำบัดจิตเราได้ด้วย ไม่ใช่ได้ธรรมดานะ เรียกว่า “ได้ดี” เลยทีเดียว

เท่าที่มอง น่าจะเป็นเพราะ การสอนเราต้องมีสมาธิ มีสติกับตัวเองมาก ๆ ไม่งั้นสิ่งที่เราต้องพูด ต้องบอก มันมีโอกาสบอกผิดได้ง่าย ๆ เพราะนอกจากต้องจำท่า บอกรายละเอียดการเข้าท่า ยังต้องบอกซ้าย-ขวา ให้ถูก ไหนจะเรื่องลมหายใจอีก ไหนต้องคอยสอดส่องนักเรียนที่ต้องเข้าไปจัดท่าให้อีก ทำให้ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นเลยละ 555555

เมื่อสามีจัดมา…

อยู่ดี ๆ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา สามีก็ถามว่า

หนิง มีแคตตาล๊อครองเท้าให้ดู ดูสิ สวยป่าว

ดูไปดูมา ก็มีที่ชอบอยู่หลายแบบเหมือนกัน เขาเลยบอกมา ลองเลือกมาซักคู่สิ เอ่ยมาแบบนี้ก็จัดไป หายไปพักใหญ่ ๆ อยู่ดี ๆ กลับมาถึงบ้านก็มีกล่องรองเท้าวางอยู่บนที่นอน ดีใจมากเลยค่ะ เพราะคู่นี้ชอบสีมาก ๆ สีโปรด ถูกใจผุด ๆ

DSC_4378    DSC_4211

ได้มาแล้วก็ต้องฉลองซะเลย อิอิ ใส่วันแรกก็รู้สึกว่าแตกต่างจากรองเท้าประเภทนี้ที่เคยซื้อมาเลย เพราะคู่นี้ใส่แล้วรู้สึกว่ากระชับเข้ากับรูปเท้าดี และล่าสุดได้ลองใส่รองเท้าคู่นี้ไปลุยเที่ยวทะเลดู ซึ่งก็เป็นธรรมดาแหละค่ะ ใส่ไปลุยทะเลก็ต้อเละแน่นอน คริคริ มอมเล็กน้อย เพราะของใหม่นี่นาก็ถนอมอยู่บ้างอ่ะ แต่พอกลับถึงบ้านก็รีบทำความสะอาด เรื่องนี้แหละที่อึ้งมากกว่าที่คิด ตอนแรกคิดว่าจะทำความสะอาดยาก เพราะลักษณะของรองเท้าจะคล้าย ๆ กับหนังกลับหน่อย ๆ แต่ปรากฎว่าไม่น่าเชื่อทำความสะอาดง่ายมากค่ะ เอาแปรงสีฟันถูเบา ๆ ก็ออกละ แห้งไวด้วยค่ะ

DSC_4129

 

 

คิดไปคิดมา เหมือนหนิงเชยเลยอ่ะ ไม่เคยได้ยินรองเท้ายี่ห้อนี้มาก่อน “Keen” เพิ่งรู้จักตอนที่สามีเอามาให้ดูจริง ๆ (อย่าว่ากันนะ เลยต้องแอบเผาตัวเองซะก่อน คริคริ) แต่หลังจากที่เห่อของใหม่ ได้มาเสร็จของโพสลงใน Facebook เลย ปรากฎว่า ครูจิมมี่ เจ้าพ่อโยคะก็ใช้รองเท้ายี่ห้อนี้มา 2 ปีกว่าแล้ว พออีกวันใส่ไปเจอเพื่อนอีกคน เขาก็รู้จักและตั้งใจจะซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้อยู่พอดีเลย แต่กำลังหาคู่ที่ถูกใจอยู่ เพราะน่าจะสองจิตสองใจเพราะชอบแบบของผู้ชายแต่คู่นั้นไม่มีในแบบผู้หญิงอ่ะ หายไป 2 วัน พอโทรถามเพื่อนจัดไปเรียบร้อยละ

สรุปว่า ของขวัญชิ้นนี้ สามีจัดมา…ให้ ถูกใจที่สุดเลยจ้า ขอบคุณมากนะจ๊ะ จุ๊บ ๆ

ครบปี ศิษย์ปั้น อิอิ

มดโยคะ

ชายผู้นี้แหละค่ะ “ศิษย์ปั้น” คริคริ

กว่าจะชักชวนให้ชายผู้นี้หันมาฝึกโยคะได้ หนิงใช้เวลาถึง 5 ปีเศษ อาจจะด้วยเพราะช่วงแรก ๆ ที่หนิงและเพื่อนฝึกโยคะกัน พวกเราเจอหน้ากันเป็นไม่ได้คุยแต่เรื่องโยคะ จนทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับโยคะไปเลยในช่วงนั้น บางครั้งขับรถไปเครียดก็เครียด พวกที่นั่งกันในรถก็คุยกันเสียงดังด้วยเรื่องโยคะ 5555 ก็มันอดไม่ได้นี่นา

แต่หนิงก็ไม่ละความพยายามนะคะ ในแต่ละช่วงที่หนิงมีการเปลี่ยนตัวครูผู้ฝึกหนิงพยายามที่จะชักชวนทุกครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นครูสาวสวย ขาสวย หุ่นดียังไงก็ไม่สำเร็จ หรือบอกว่าครูคนนี้เก่งแบบนั้นแบบนี้ ก็ไม่ผ่าน มาเปิดสตูดิโอโยคะเองก็ยังไม่สามารถเพราะเวลาไม่ได้ จนกระทั่งมีหลายคนติดต่อมาให้เปิดสอนช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หนิงเองก็แข่งใจอยู่นาน เพราะปกติจะเป็นวันครอบครัว และยิ่งถ้าคุณสามีไม่ฝึกด้วยแล้ว ยิ่งไม่สะดวกสำหรับครอบครัวเราแน่ ๆ ด้วยความไม่ลดละ หนิงก็แค่ถามคุณสามีไปว่า

มด หนิงจะเปิดคลาสสอนโยคะวันเสาร์นะ มดจะเรียนด้วยป่าว

ไม่น่าเชื่อ ณ วันนั้น คำตอบคือ

ครับ

หนิงไม่มีคำถามอื่นใดที่จะถาม ณ ตอนนั้นเลย ว่าทำไมเรียน คริคริ กลัวถามมากจะเปลี่ยนใจอ่ะนะ แต่แล้ววันนึงหนิงก็มาทราบความจริงว่า ที่เขาได้ตัดสินใจเรียนก็เพราะว่า ไปตรวจสุขภาพมาแล้วผลปรากฎว่า คอเรสเตอรอลสูงมาก ถึง 230 ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรเกิน 200 เป็นสาเหตุหลัก ๆ เลย และสาเหตุอื่นอีกก็คือ ก่อนหน้านี้หนิงเองเป็นคนที่สุขภาพไม่ดีเอาซะเลย เขาเองต้องเป็นคนอุ้มหนิงเข้าโรงพยาบาลตอนดึก ๆ บ่อยครั้ง ด้วยโรคหอบหืด และอื่น ๆ ที่ต้องดูแลอีกหลายอย่าง แต่ปรากฎว่า ในปัจจุบัน ร่างกายของหนิงกับมดมันสวนทางกันอย่างชัดเจน หนิงแข็งแรงขึ้น แต่มดกลับแย่ลด ทำให้เจ้าตัวคิดว่า โยคะอาจจะเป็นส่วนนึงในการทำให้ร่างกายหนิงแข็งแรงขึ้นก็เป็นได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจของดูสักตั้ง ขณะเดียวกันหนิงอธิบายให้เข้าใจว่า การที่เรามีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลนั้น ปัญหามันเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เราบริโภคเข้าไปด้วย หากฝึกโยคะอย่างเดียวไม่น่าจะเอาอยู่ เขาก็ตั้งใจลองดูสัก 6 เดือนโดยการปรับเปลี่ยนแบบหักดิบในบางส่วน คือ

  • ชา-กาแฟ ปกติกินวันละ 2 แก้ว วันจันทร์-ศุกร์ หักดิบเหลือเพียง 3 แก้ว จาก 10 ส่วนเสาร์-อาทิตย์ เป็นรางวัล 5555
  • หมูปิ้ง จาก 5 ไม้เหลือครั้งละ 3 ไม้
  • ในแต่ละมื้อก็พยายามลดเนื้อให้น้อยลง ทานผักและปลามากขึ้น
  • แล้วก็ฝึกโยคะทุกเสาร์-อาทิตย์ รวมถึงวันหยุดต่าง ๆ

ถือได้ว่ามดเป็นคนที่มีวินัยกับตัวเองสูงพอสมควรค่ะ มดแทบปฏิบัติตามสิ่งที่ตัวเองตั้งใจไว้เกือบทุกข้ออย่างสมบูรณ์แบบ อิอิ แทบชื่นชม จนกระทั่งล่าสุด หนิงลองชวนมดไปเข้า workshop yoga ด้วยกันที่กรุงเทพ ในงานครบรอบ 5 ปีแมนดูกะ ลุ้น ๆ อยู่ ปรากฎว่าตอบว่าไป ดีใจมาก พอได้มาร่วมก็เอ็นดูเหมือนกันค่ะ เพราะว่าครั้งนี้ก็หนักประมาณนึงเหมือนกัน แต่ก็ไม่น่าเชื่อ ดูจากภาพนะคะ หุหุ

หลังจากครบปี  (มดเริ่มฝึกโยคะเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2555) สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ก็เกิดขึ้นหลายอย่างเหมือนกันนะคะ

  • คอเลสเตอรอลลดลงจาก 230 เหลือ 197 ถึงแม้จะต่ำกว่าเกณฑ์ก็จริง แต่ก็ลดลงจากเดิมพอสมควรเหมือนกันนะคะ
  • น้ำหนัก ซึ่งจริง ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะลดนัก ก็ลดไปได้ไม่ต่ำกว่า 6 กิโลเชียว
  • เมื่อน้ำหนักลด สิ่งที่เป็นผลพวงอีกอย่างก็คือ หุ่นลดลง กางเกงบางตัวหลวมถึงขั้นแทบจะหลุดไปเลยทีเดียว ได้ข่าวแว่ว ๆ ว่าคงต้องหาซื้อกางเกงใหม่อีกหลายตัวเลย คริคริ (ไม่รู้ว่าเป็นข้ออ้างป่าวนะ)
  • อาการปวดสะบัก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ จากการทำงานก็ลดลง ข่าวว่าอาการดีขึ้นมาก

เพียงแค่ไม่กี่ข้อนี้ ก็ทำให้ครอบครัวของเรามีความสุขขึ้นมาก และคงจะฝึกโยคะต่อไป เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันนาน ๆ คริคริ …..

เหมือนจะกวน อิอิ

DSC_4029

ไม่ได้กวนนะตัวเอง คริคริ ก็ช่วงก่อนหน้านี้ หนิงเจอคำถามจากผู้ที่สนใจเรียนโยคะว่า

ครูขา แล้วต้องเรียนกี่คอร์สถึงจะจบค่ะ

หรือ

เรียนจบคอร์สนึงแล้วฝึกเองได้เลยหรือเปล่าค่ะ

ไม่ใช่คนเดียวนะคะ บอกได้เลยว่าเยอะค่ะ

คำตอบที่อยากสอบมากที่สุดในตอนนั้นก็คือ

เรียนโยคะ เรียนจนตายก็คงไม่หมดอ่ะนะ

แต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง เลยไม่ตอบไปแบบนั้น 5555 ไม่งั้นนักเรียนคงจะขยาดครูหนิงคนนี้กันหน้าดู คริคริ สิ่งที่ตอบไปก็คงบอกได้แค่เพียงว่า

หนูขา การเรียนโยคะมีมากมายให้เราศึกษา ส่วนระยะเวลาว่าต้องเรียนยาวนานแค่ไหนถึงจะหยุดนั้น ก็อยู่ที่ตัวผู้เรียนเองนะคะ หากเราเรียนเราฝึกไปถึงระดับนึง แล้วเราคิดว่าเราพอใจกับสิ่งที่รู้ละ ไม่ต้องการพัฒนาไปมากกว่านี้ละ คิดว่าฝึกแค่นี้ก็พอดีและดีพอสำหรับร่างกายละ เราก็หยุด หรือไม่ก็อาจจะเรียนไปก่อนสักระยะ ไปฝึกเองอีกสักพัก แล้วค่อยมาเรียนต่อ ก็อยู่ที่การจัดการของแต่ละคนในการวางแผนแนวทางการเรียนและการฝึกฝนของตัวเองอ่ะค่ะ

ฟังแล้วบางคนอาจจะคิดว่า “กวน” เหมือนกันนะยายครูคนเนี๊ย แต่มันเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจในห้วงลึก ๆ จริง ๆ นะคะ เพราะตัวของครูหนิงเอง ยังคิดว่ามีโอกาสได้เรียนเพิ่มเมื่อไหร่ก็จะไปตลอด เพราะคิดเสมอค่ะว่า

การที่เราจะเป็นครูที่ดีได้ ควรจะเป็นนักเรียนที่ดีด้วย และไม่ควรที่จะหยุดเรียน เวลาไม่เคยหยุด การพัฒนาในแต่ละด้านก็ไม่เคยหยุด หากเราหยุดเราก็จะหยุดอยู่กับที่ ก้าวต่อไม่ได้ บางครั้งการก้าวไปการได้เรียนไม่ได้หมายถึงตัวเองเสมอไป แต่การเรียนของครูหนิงคนนี้ บางครั้งก็เรียนเพื่อเอามาใช้กับนักเรียนอ่ะค่ะ

สิ่งที่บอกไปไม่ใช่การหาเสียงนะคะ มันเป็นความจริงที่สุด อิอิ “เหมือนจะกวน แต่เค้าไม่ได้กวนนะตะเอง…..

ธรรมะ กะ โยคะ

556954_3546795623577_85410905_n

หลังจากที่ได้ฝึกปฏิบัติธรรมมา จริง ๆ แล้วหนึ่งในจุดประสงค์ที่ไปก็เพื่อที่อยากประยุกต์ใช้กับการฝึกโยคะด้วย และก็ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันเข้ากันได้ดีจริง ๆ คริคริ

หนิงว่าการฝึกปฏิบัติธรรม กะ การฝึกโยคะ เหมือนกัน คล้ายกันหลายอย่างมาก ที่เห็นชัด ๆ เรื่องแรกก็คือ ต้องฝึกฝน เพราะหากไม่ฝึกก็ไม่รู้ ไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ระหว่างการฝึกการปฏิบัติ เราก็จะได้เรียนรู้มากมาย จุดที่แต่ละคนพบเจอก็ต่างกัน….

รูปแบบ “มหาสติปัฎฐาน” หนิงว่าเอามาใช้กับโยคะได้ง่ายมาก เพราะยังไงก็เป็นแนวเคลื่อนไหวเหมือนกัน ซึ่งหลวงพ่อเทียนเพียงแค่เอารูปแบบ 14 จังหวะการเคลื่อนไหวมาใช้ เพราะน่าจะไม่ยากเกินไป สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย อันนี้ก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ คริคริ เพราะหนิงคาดเดาเอาว่าหลวงพ่อคงทำรูปแบบนี้มาใช้เพื่อเตือนเรียกสติตัวเองเท่านั้นเอง ดังนั้นการฝึกโยคะหากเราอยู่กับตัวเราเอง อยู่กับการเคลื่อนไหวเราเอง ก็น่าจะเป็นการฝึกจิตได้อย่างนึงเหมือนกัน เพราะขณะที่เราฝึก หากจิตเราไม่ได้อยู่กับตัวเราเอง บางครั้งเราอาจจะคิดไปถึงครั้งก่อน ๆ ที่เคยฝึกท่านี้ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อาจจะไปดูเพื่อนข้าง ๆ แล้วคิดโน้นคิดนี้ไม่ได้อยู่กับการฝึกของตัวเอง

ช่วงแรกหนิงคิดนะคะว่า

ทำไมการฝึกจิต มันยากกว่าฝึกโยคะซะอีก

ก็ตอนเราฝึกโยคะมีครูมาบอกว่าท่าต้องปรับตรงไหน ต้องยกมือ ปรับขาอย่างไร ต้องหายใจแบบไหน แต่การฝึกจิตไม่มีใครดูเราออกเลยว่าเราไปถูกทางหรือเปล่า เราปฏิบัติได้ถูกต้องแค่ไหน ปรากฎว่า วันนึงหนิงได้มีโอกาสสอบถามพูดคุยกับพระอาจารย์ทรงศิลป์ และบอกพระอาจารย์ไปกับความคิดนี้  ไม่น่าเชื่อเลย พระอาจารย์ตอบกลับมาว่า

เข้าใจผิดแล้ว ฝึกจิตฝึกง่ายกว่าฝึกกายมาก

หนิงนั่งงงอยู่พักใหญ่ ท่านเลยอธิบายให้ฟังว่า

กายเราจะห้ามได้ยังไง วันนึงมันก็เจ็บ ป่วย มันแห้งเหี่ยว และมันก็เสื่อมไป แต่จิตนั้นเป็นจิตของเรา เราฝึกจิตเราเองง่ายกว่ามาก หากจิตดี เราก็จะไม่ป่วยตามกาย เมื่อถึงเวลาที่กายเสื่อม เราก็จะไม่ยึดติดกับมัน

หนิงฟังพระอาจารย์จบ เข้าใจเลยว่า เราเข้าใจผิดจริง ๆ วันก่อนกลับก็ได้บอกกับพระอาจารย์ไปว่า เข้าใจว่าการฝึกจิตดี แต่ไม่กล้ารับปากว่าจะฝึก เพราะรู้ความมีวินัยของตัวเองดีว่ามีแค่ไหน สุดท้ายเพราะอาจารย์ก็ตอบกลับมาว่า

ฝึกจิตจริง ๆ เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เราทำได้ตลอดทุกวันอยู่แล้วใช่ป่าว

ดันไปตอบพระอาจาร์ว่า

ใช่

พระอาจารย์เลยบอกว่า

นั่นไง รับปากแล้วนะ

เฉยเลยอ่ะ แต่หนิงว่าหนิงเองก็เป็นคนที่มีสติอยู่กับตัวเองพอสมควรนะคะ อิอิ

ต่างคน…ต่างคิด

หกปีกว่ากับการฝึก Asthanga Yoga  หนิงยอมรับนะคะว่า “โยคะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหนิง” ไปแล้ว

โชว์

หนิงได้ประสบการณ์  ได้ข้อคิดต่าง ๆ มากมายจากทั้งการเรียนรู้จากครูผู้สอน  กับหนังสือที่อ่าน  รวมไปถึง online ต่าง ๆ  สิ่งที่หนิงได้สัมผัสทำให้เราได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิด  และเปิดมุมมองของตัวเอง  จนกระทั่งวันนึง  หนิงคิดที่เริ่มเป็นผู้ถ่ายทอดการฝึกโยคะอย่างจริงจัง  เพราะคิดว่าโยคะเป็นอะไรที่ทำให้เราดีขึ้นหลาย ๆ อย่างเลยอยากให้คนอื่น ๆ มีโอกาสได้ลองฝึก  ได้มีโอกาสสัมผัสบ้าง  เผื่อว่าจะได้เจออะไรดี ๆ จากโยคะแบบหนิง  อิอิ  และหนิงก็ได้เห็นอะไรจากการเป็นผู้ถ่ายทอดอีกมากมาย

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  ถึงแม้ว่าไม่ได้มากมายอะไร  แต่จากการที่เราเองก็เป็นคนช่างคิด  และช่างพูดด้วยมั่ง  อิอิ  เลยทำให้เราหาจุดยืน  และจุดสมดุลให้กับตัวเอง  เพราะครูหลาย ๆ คนก็จะมีแนวทางเดินในแบบวิถีโยคะเลย  ไม่ว่าจะเป็นวิถีการกิน  การเป็นอยู่  รวมไปถึงการฝึก  ซึ่งหนิงมองว่าหากเราสามารถปฏิบัติแบบนั้นได้น่าจะเป็นสิ่งที่ดี  แต่เงื่อนไขของแต่ละคนก็แตกต่างกัน  ไม่ว่าจะเป็นชีวิตครอบครัว  สังคมที่เรายังต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ  ดังนั้นเราต้องหาวิถีของเรา(s)ด้วย  ด้วยความที่เราเองอาจจะเป็นคนค่อนข้างง่าย ๆ สบาย ๆ เลยไม่ค่อยคิดไรมากมาย ใช้ชีวิตง่าย ๆ อยู่ง่าย ๆ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เบียดเบียนใคร และอยู่อย่างมีความสุขน่าจะเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตนี้  ดังนั้น หนิงขอสรุปรูปแบบตัวเองง่าย ๆ ตามวิถีของหนิง คือ

  • วิถีการกิน ปกติชอบทานผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์พยายามเลี่ยง โดยเฉพาะหมู กับไก่ ส่วนปลาหมีกไม่ค่อยชอบอยู่แล้วโชคดีไป กุ้งเมื่อก่อนไม่ทานแต่ปัจจุบันทานมากขึ้น ถ้าเป็นปลาวิ่งเข้าหาเลย 5555 ดังนั้นหากได้เวลาทานอาหาร ถ้าทานคนเดียวก็จะพยายามเลือกผักเป็นหลัก แต่เวลาไปทานเป็นกลุ่มก็ไม่ค่อยเลือก ทานไปหมดทานอะไรมากทานอะไรน้อยค่อยว่ากัน อิอิ จริง ๆ ก็อยากหาร้านอาหารสุขภาพทาน แต่ทำไงได้ หากเจ้าของร้านที่ขายอาหารสุขภาพยังไม่เข้าใจเลยว่าอาหารสุขภาพเป็นอย่างไร เขาก็ยังคงผลิตอาหารที่คิดว่าเป็นอาหารสุขภาพ และบอกคนอื่น ๆ ว่าเป็นอาหารสุขภาพออกมา ได้ใช่เขาหลอกลวงนะคะ แต่เพราะเขาเองก็ยังไม่เข้าใจต่างหาก คริคริ ส่วนเรื่องชา-กาแฟ ก็ยังคงดื่มอยู่ แต่พยายามเลี่ยงนมข้นหวานกับน้ำตาล จากเมื่อก่อนก็ทานตามร้านเรื่อยเปื่อย แต่ปัจจุบันพยายามเลือกร้านที่มีเครื่องทำกาแฟสด โดยพยายามดื่มเป็นกาแฟร้อนเพราะจะไม่ใส่นมข้นหวานแน่ ๆ และพยายามไม่เติมน้ำตาลด้วย ส่วนชาเย็นก็ดื่มบ้างค่ะ อาทิตย์ละไม่เกิน 3 แก้ว (มากไปป่าวเนี่ย บอกที่มากสุดแล้วนะจ๊ะ)
  • วิถีการนอน หนิงเองก็เป็นคนที่นอนถือว่าดึกไปหน่อยสำหรับผู้ดูแลสุขภาพ เพราะจริง ๆ แล้วควรนอนตั้งแต่ 3 ทุ่ม แต่ทำไงได้ค่ะ หนิงสอนเสร็จก็สองทุ่มกว่าจะถึงบ้านก็สองทุ่มกว่า ยังมาทานอาหารค่ำต่ออีก (คริคริ อันนี้ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะคะ) ทำให้ต้องนอนประมาณห้าทุ่มถืงห้าทุ่มครึ่งเลยทีเดียว แต่ยังไงทุกวันก็นอนไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมงนะคะ เพราะหนิงจะตื่นประมาณหกโมงถึงหกโมงครึ่งค่ะ
  • การฝึกโยคะ หนิงเองอาจจะไม่ใช่คนที่มีวินัยนัก แต่พอจะทราบเรื่องกฎคร่าว ๆ ของการออกกำลังกายว่า ควรออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง  หนิงก็พยายามปฏิบัติให้ได้ต่ำสุดแบบนั้น  แต่หากสามารถฝึกได้ 60-90 นาทีก็ทำ ฝึกได้มากกว่าอาทิตย์ละ 3 วันก็พยายามทำ เพียงแค่ตั้งเป้าหมายขั้นต่ำไว้เท่านั้นเอง
  • การสอนโยคะ เนื่องจากตัวเองเป็นคนง่าย ๆ ทำให้เราก็ก็สอนแบบไม่ได้เคร่งครัดหรือเคร่งเครียดนัก สอนให้นักเรียนฟังเสียงร่างกายตัวเอง ทำตัวเองให้มีความสุขทุกครั้งที่ฝึกให้ได้ เพื่อให้ตัวเขาอยู่กับโยคะได้ยั่งยืน หนิงเข้าใจนะคะ หากบางคนที่เป็นคนที่เข้าถึงโยคะ เป็นโยคีตัวจริง มาเจอหนิงสอนอาจจะอี้งไปก็ได้ คริคริ บอกแล้วไงค่ะว่า “ต่างคน ต่างคิด” หนิงคิดอยู่อย่างหนึ่งว่า จากคนจำนวน 1,000 คน คงจะมีคนที่เข้ามาฝึกโยคะสัก 50 คน จาก 50 คน คงจะมีแค่ 1-2 คนเท่านั้นที่เป็นโยคีหรือโยคินีตัวจริง ดังนั้นหากเราทำให้คนรู้สึกไม่ชอบโยคะเพราะไม่ใช่โยคีหรือโยคินีนั้นก็คงน่าเสียดาย เพราะจริง ๆ แล้วโยคะช่วยคนได้เยอะมาก ๆ หากเราเคร่งเกินไปก็จะทำให้คนห่างหายจากโยคะ แต่ยังดีที่ ปัจจุบันโยคะถือว่าได้รับความนิยมมากขึ้น โอกาสที่จะทำให้โยคะถูกกลืนคงเป็นไปได้ยากเต็มที

สิ่งที่กล่าวไปทั้งหมดก็เป็นเรื่อง “ต่างคน ต่างคิด” นะคะ อาจจะโดนใจบางคนไม่โดนใจบางคน เรื่องวิถีโยคะ หรือการฝึกโยคะ ไม่มีอะไรผิดไม่มีอะไรถูก และอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดทั้งความคิดรวมไปถึงการปฏิบัติ หากเราไม่ได้ยึดติด และหากเราทำความเข้าใจกับตัวเองเราก็จะเห็นความคิดตัวเองได้ไม่ยาก อิอิ

เดินจงกรม ชนะใจ

ยังค้างคา อิอิ ตั้งใจเขียน 3 เรื่องจากการไปปฏิบัติธรรมที่โรงแรมอัปสารา แต่เพิ่งเขียนไปเรื่องเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สอง ลองติดตามกันดูนะคะ

การเดินจงกรม ของหลวงพ่อเทียน ก็แตกต่างจากแนวอื่น ๆ ที่หนิงเคยปฏิบัติมาค่ะ แต่หนิงก็เชื่อนะคะว่าไม่ว่าจะเป็นแนวไหน ขออย่างเดียวขอให้ปฏิบัติ ยังไงก็ได้รับประโยชน์อย่างแน่นอนค่ะ สำหรับการเดินจงกรมของหลวงปู่เทียนง่ายมาก ๆ ค่ะ ก็แค่เดินไปเรื่อย ๆ ตามสบาย มีข้อห้ามแค่ห้ามแกว่งมือเท่านั้นเองค่ะ โดยกำหนดให้เอามือประสานกันด้านหน้า หรือหลัง หรือกอดอกค่ะ ข้อสำคัญคือ ต้องปฏิบัติ “มหาสติปัฎฐาน คือ ใจมีสติอยู่กับกาย ผลลัพธ์เท่ากับปกติ (ศิล)”  สำหรับการเดินแรกๆ จะกำหนดการเดินเพียง 11 ก้าวเท่านั้น หนิงว่าดีนะคะ เพราะช่วงต้นของการเดิน เราจะเห็นได้เร็วเลยว่า อุ๊ย! ลอยไปแล้ว 5555 ขนาดกำหนดหัวท้ายไว้ แต่ที่ไหนได้เดินเลยไปซะงั้น

หนิงเคยฝึกเดินจงกรมมาหลายแบบนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการดูทุกจังหวะการย่างก้าว (ยกหนอ ก้าวหนอ วางหนอ) หรือการเดินโดยกำหนดจุดไว้ที่อวัยวะ เช่น ที่หน้าผาก, ปลายจมูก, หัวใจ เป็นต้น ภาพรวมหนิงว่าดีหมด ที่เหลืออยู่ที่การฝึก

สำหรับการฝึกเดินของหลวงพ่อเทียน เราสามารถมองอะไรก็ได้ เดินเร็วหรือช้าก็ได้ (ถ้าง่วงก็เดินเร็ว ๆ ถ้าไม่ง่วงก็เดินให้ช้าลง) แต่ช่วงต้นไม่ควรจะเดินช้าเกินไป เพราะจะทำให้เราเกิดสมาธิขึ้นได้ ยอมรับความจริงค่ะ จริง ๆ แล้วหนิงได้ถามกับพระอาจารย์ไปสำหรับการเกิดสมาธิว่าเกิดแล้วไม่ดีเหรอค่ะ แต่สงสัยสติไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่จะไม่ได้จนต้องโทรไปถามเพื่อนเนตรว่า จำได้ป่าวว่าพระอาจารย์ตอบว่าอย่างไร เนตรบอกมาดังนี้ค่ะ

ในการฝึกของหลวงพ่อเทียน จะเป็นรูปแบบที่ต้องการให้เราเห็นความคิดของตัวเอง แล้วพยายามเอาสติมาอยู่กับกายให้ได้ หากเรามีสมาธิเกิดขึ้น ซึ่งจะอยู่ในภาวะนิ่งจะทำให้เราตามดูจิตไม่ได้ เพราะจิตอาจจะไม่ค่อยเคลื่อนไหว

น่าจะประมาณนี้นะคะ ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดก็ ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และหากมีผู้รู้ท่านใดทราบหรือเห็นแตกต่าง รบกวนช่วยแสดงความคิดเห็นด้วยนะคะ

วันแรก ๆ พระอาจารย์ก็ไม่ได้กำหนดเรื่องเวลาที่ใช้ในการฝึกเดินมากนัก คือ ให้เราเลือกฝึกสลับเอา ระหว่างเดินจงกรม กับการเคลื่อนไหว 14 จังหวะ แต่พอวันหลัง ๆ พระอาจารย์บอกให้เดินจงกรมอย่างเดียว 2 ชั่วโมง โดยห้ามหยุดให้เดินต่อเนื่องไปเลย แล้วให้สังเกตุตัวเองทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนคงจะเห็นอะไร เจออะไรที่แตกต่างกัน แต่ภาพรวม ครึ่งชั่วโมงแรกก็ชิว ๆ อ่ะนะ ครึ่งชั่วโมงที่สองก็ยังพอทนแต่อาจจะเริ่มมีอาการล้าบ้าง พอเริ่มครึ่งชั่วโมงที่สามบางคนอาจจะไม่ค่อยไหวแล้ว พอถึงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายน่าจะวิตกมากขึ้นว่าเมื่อไหร่จะครบซักที่ 5555 ไม่ว่าเป็นใครก็คงจะลุ้นเหมือนกันหมดอ่ะนะ ก็จังหวะนั้น เดินเร็วก็แล้ว ช้าก็แล้ว ดูนาฬิกาดูแล้วดูอีก ก็อีกนานอยู่ดี แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าเดินจนครบ 2 ชั่วโมงจนได้  โดยที่ไม่ดื่มน้ำ ไม่เข้าห้องน้ำ เวลาที่เดินมาดูนาฬิกาก็พยายามย้ำเท้าเพื่อให้รู้ตัวว่าเดินอยู่ตลอด ซึ่งปกติวันก่อน ๆ หน้าไม่เคยทำได้เลย เวลาพระอาจารย์บอกให้แยกย้ายกันไปปฏิบัติ เวลาง่วงจัด ๆ ก็ดื่มน้ำบ้าง เข้าห้องน้ำบ้าง มีครั้งนึงอาการหนักมาก ถึงขั้นนั่งสัพหงกในห้องน้ำเลยทีเดียว 5555 เอาความลับมาเปิดเผยอีกแล้วเรา คริคริ