8 ปีที่เปลี่ยนไป…

หนิงว่า หลาย ๆ คนที่ฝึกโยคะ อาจจะมีความรู้สึกกับตัวเองแตกต่างกันไป หรือบางทีก็อาจจะรู้สึกคล้าย ๆ กัน สำหรับตัวหนิงเอง หนิงพอจะสรุปความรู้สึกในแต่ละช่วง ดังนี้

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

  1. ระยะงง ๆ แรก ๆ ที่เข้าคลาสโยคะ ที่เริ่มเห็นคนอื่น ๆ เขาฝึกกันไปถึงไหนต่อไหนกัน เราเองเพิ่งเริ่มเข้าคลาส รู้สึกงงมาก เขาทำอะไรกัน เขาทำกันได้ยังไง แล้วเราจะทำได้ไม๊ ต่าง ๆ นา ๆ เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ ท่าก็จำไม่ได้ แล้วจะรอดไม๊ อิอิ
  2. ระยะที่ต้องอดทน เมื่อเริ่มงงไปแล้ว ก็ลองสักตั้งให้หายงงซะหน่อย เราก็ใช่แย่นี่นา คนอื่น ๆ เขายังฝึกกันได้เลย ทำไมเราจะทำไม่ได้ละ ว่าแล้วก็อึ๊บ อึ๊บ ฝึกกันต่อไป เมื่อยก็ทนไป เหนื่อยก็ทนเอา สักวันคงดีขึ้น คิดว่างั้น 55555
  3. ถัดมาเริ่มรู้สึกสับสน เพราะพอเริ่มเรียนกับครูหลายคน แต่ละคนก็บอกไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเข้าท่า การร้อยเรียงท่าต่าง ๆ ในเรื่องของท่าหลัก ท่าแก้ สรุปแล้วมันยังไงกัน จะใช้หลักไหนดีอ่ะ สับสนอยู่นานสรุปแล้วก็ต้องเลือกฝึกไปตามครูที่สอนปัจจุบันบอก ส่วนเวลาที่ฝึกเองก็เทคนิคไหนที่รู้สึกว่าปลอดภัย และรู้สึกสบาย ก็เลือกแบบนั้นละกันนะ น่าจะดีสำหรับเรา คริคริ
  4. ผ่านไปเรื่อย ๆ ชักเริ่ม “หลง” หลงนี่ หลงหลายอย่างเลยอ่ะ ทั้ง “หลงไหล” ช่วงที่เกิดอาการนี้แทบเรียกว่าติดยาได้เลยอ่ะ ไม่เจอกะตัวไม่รู้หลอก จริง ๆ นะ  บางครั้งก็มี “หลงทาง” บ้าง เพราะอยากลองไปเรื่อย อยากรู้ อยากเห็น จนถึงวันนึงที่ต้องเจอกับตัวเองว่ามันเป็นยังไง อาการ “บางอ้อ” ก็เกิดขึ้นค่ะ อีกอย่างก็คือ “หลงตัวเอง” ก็ทำไงได้ค่ะ บางครั้งบางคราวก็รู้สึกว่าเราเลิศอ่ะนะ อาการอยากโชว์ของก็คงเป็นเรื่องปกติ ชิมิ ชิมิ
  5. อาการ “บางอ้อ” ทำให้เกิด “ความเข้าใจ” ว่าเราฝึกโยคะไปทำไมอ่ะ สิ่งที่ได้คืออะไรอ่ะ ว่าแล้วก็เปลี่ยนไม๊กับความคิด วิธีการ และอื่น ๆ อีกมากมาย ก็เข้าใจแล้วไงค่ะ
  6. ตอนนี้ ก็เข้าสู่ระยะ “รอ” รอว่าต่อไปเราจะคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร เพราะตอนนี้เพิ่งรู้สึกได้แค่เนี่ยอ่ะ

ที่บอกไป ก็แค่ความรู้สึกตัวเองนะคะ ผ่านมา 8 ปีละ รู้สึกได้แค่เนี่ยแหละ อิอิ

ลองอีกครั้ง อิอิ

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)ไม่คิด ไม่ฝัน จริง ๆ นะคะ กับการที่ต้องเข้ามาลองอะไรอีกในสิ่งที่ปฏิญาณตัวไว้แล้วว่าจะ “ไม่เอาอีกแล้ว” เนื่องจากหนิงเองเคยทำธุรกิจมาหลายรูปแบบ และเคยทำหลายธุรกิจเช่นกันที่มีหุ้นส่วน บอกเลยว่า “หลาบ” หลาบในที่นี้คือ หนิงมองว่า การทำธุรกิจด้วยกันมันคล้าย ๆ กับการแต่งงานกันเลยค่ะ ต้องดูแลกันและกัน ช่วยเหลือกัน มองอะไร คิดอะไร ควรจะต้องพูดคุยกันแบบเปิดอก ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้างก็เป็นเรื่องปกติ แต่บางทีก็มีถูกทิ้งบ้าง เหมือนทำทุกอย่างอยู่คนเดียวทั้ง ๆ ที่เราหุ้นกัน ค่าบริหารดูแลกิจการไม่มีนะคะ บางทีประชุมสรุปกันแล้ว แต่พอทำจริงกลับไปทำอีกแบบ ซึ่งมันไม่ใช่อ่ะ หรือบางทีพอกิจการไปไม่รอดก็ต้องมารับผิดชอบใช้คืนอยู่คนเดียว นั่นหมายถึง หนิงต้องแบกรับภาระทุกอย่างคืนให้หุ้นส่วน ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วเราหุ้นกันควรจะแชร์ความรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งก็ไม่เคยพูดออกไปนะคะ เพราะคิดว่าถ้าเราทำแล้วตัวเราเองสบายใจก็ทำไป ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากมาย เรื่องอื่น ๆ เจอกันข้างนอกเราก็ยังพูดคุยกันแบบปกติ

 

แต่วันนี้ หนิงกลับมองมุมกลับของคำปฏิญาณกับตัวเองไว้ เพราะที่ผ่านมาเราอาจจะหุ้นกันทำด้วยที่มองแค่ผลกำไรในกิจการ บางคนไม่มีประสบการณ์ ไม่มีไอเดียกับงานที่ร่วมกันเลย แต่ด้วยตัวหนิงเองเป็นคนชอบลองและตั้งใจทำด้วย หากไม่รู้ก็จะเรียนรู้ศึกษาเองจนทำได้ อิอิ เลยทำให้บางครั้งต้องทำอยู่คนเดียวเพราะเหตุนี้แหละ 55555 ก็ทำไงได้คนอื่นทำไม่เป็นนี่นา ครั้งนี้คงจะไม่เหมือนเดิม เพราะ เราทุกคนที่ร่วมกันทำ นอกเหนือจากมองผลกำไรในธุรกิจแล้ว สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ

เรามีพื้นฐานของความรักในสิ่งที่เราทำเหมือน ๆ กัน

ช่วงหลัง ๆ หนิงได้มีโอกาสไปฟังสัมมนากับวิทยากรหลาย ๆ ท่านที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จกับสิ่งที่พวกเราทำ เขามักจะบอกว่า พวกเขาได้ “ทำตามฝัน และทำในสิ่งที่ตัวเองรัก” เลยทำให้หนิงมองว่า เมื่อเรามีพื้นฐานของสิ่งนี้เหมือนกัน สามารถช่วยกันดำเนินธุรกิจนี้ได้พอ ๆ กัน เพราะทุกคนถือว่ามีความรู้ในงานไม่ต่างกัน เราน่าจะประสบความสำเร็จกับสิ่งที่พวกเราทำอย่างแน่นอน เพราะ

เราทำมันด้วยรัก และด้วยใจ

เป็นที่มา ของ “Pran Yoga ปราณโยคะ” จุดเริ่มต้นของพวกเรา ที่จะทำให้ทุกคน

Change your Breath

Change your Mind

Change your Life

พบกับ “Pran Yoga” ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2558 ที่โบ๊ทลากูน Park plaza E เกาะแก้ว นะคะ

4 ปี บนเส้นทางแห่งฝัน

Healthy Ning Yoga ได้ดำเนินการครบ 4 ปีเต็ม ซึ่งเป็น 4 ปีที่เต็มไปด้วยการสร้างฝัน และล่าฝัน ปกติเป็นคนเบื่อง่าย หน่ายเร็ว แม้กระทั่งการเปิดสอนแรก ๆ ก็ทำใจนะคะ ว่าจะอยู่กับตรงนี้ได้นานหรือเปล่า แต่นี่คือสิ่งที่ “ทำด้วยรัก สอนด้วยใจ” เลยทำให้ 4 ปีมันเร็วมาก กับก้าวแรกที่เริ่มต้น

ฝันแรกที่สำเร็จไป คือ ได้ทำแผ่นพับชุดฝึก Ashtanga Yoga Primary Series ฝันนี้จริง ๆ เกิดขึ้นช่วงปีหลัง ๆ นี้เอง เมื่อก่อนหนิงเคยนำแผ่นพับของครูคนอื่นมาจำหน่าย ส่วนใหญ่จะเป็นครูต่างชาติ ยังไม่มีคนคนไทยคนไหนทำเลย อิอิ จำหน่ายจนแผ่นพับหมด และเคยเห็นของครูท่านนึงชาวฮ่องกง ซึ่งเคยสอนหนิงด้วย หนิงพยายามติดต่อเพื่อหาแผ่นพับชุดฝึกของครูทั้งสองท่านมาจำหน่ายอีก เพราะยังมีคนถามถึงและต้องการ แต่ไม่ว่าจะติดต่อโดยตรงหรือติดต่อผ่านครูหรือตัวแทนจำหน่ายท่านอื่น ๆ ก็ไม่สามารถ ฝันจริงเกิดตั้งแต่วันนั้นว่า สักวันจะทำเป็นผลงานตัวเองก็ได้หายากนัก 5555 แต่ทำไงได้ละ ให้ไปถ่ายรูปอาสนะเราเหมือนครูคนอื่นเขาเหรอ คงลำบากอ่ะนะ ท่าอาาสนะเราคงจะสื่อให้คนอื่นเข้าไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็นแน่ ๆ แต่นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นครูท่านนึงวาดตัวเองในท่าอาสนะด้วย ฝันไม่ไกลละจากเดิมหริบหรี่มาก ต่อมาก็เห็นนักเรียนเก่าท่านนั่งชอบวาดการ์ตูน เพราะคงต้องเป็นแนวการ์ตูนที่ต้องลงคอมได้ และไม่ใช่การ์ตูนเหมือนจริงนัก เจอแล้ว…รีบติดต่อเลย แต่ปรากฎว่าเธอไม่ค่อยมีเวลาเสียดายมาก เพราะเธอฝึกโยคะอยู่บ้าง น่าจะจินตนาการได้ไม่ยาก ความหวังทรุดไปอีกครั้ง จนกระทั่งนึกถึงน้องคนนึงเคยไปเที่ยวด้วยกันสอบถามกันไว้บ้างแล้วด้วย ว่าแล้วก็ติดต่อจนกระทั่งทันกับวันก้าวขึ้นสู่ปีที่ 5 จนได้ จริง ๆ ก็เอ็นดูน้องเขามากนะคะ เพราะบางท่าเห็นตอนแรกก็งงว่าทำไมออกมาแบบนี้ น้องเขาเล่าว่าเขาลองทำเอง เห็นหลังมันโค้ง ๆ มันก็เลยวาดให้หลังโค้ง ท้ง ๆ ที่ภาพควรจะต้องหลังตรง แต่ก็ต้องชื่นชมในความพยายามของน้องเขานะคะ ที่อุตส่าห์ลองทำด้วยอ่ะ สุดท้ายผลงานก็ออกมา หลายคนบอกว่า มันเหมือนหนิงมาก ก็บกเลยว่าตั้งใจอ่ะ เอาคาเรคเตอร์ที่รู้สึกว่าเราชอบ และมองแล้วว่าเป็นเราที่สุดให้น้องเขาไป คริคริ มันจะไม่เหมือนได้ไงนิ

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

ฝันที่ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งฝันคือ การทำคลาสมัยซอร์ พูดไว้นาน ไปสร้างความอยากให้นักเรียนไว้หลายคนแล้วยังไม่สามารถทำได้ เพราะคิดว่าถ้าทำจริงคงต้องมีเครื่องมือที่ใช้ในการสอน นั่นก็คือแผ่นพับตัวนี้แหละค่ะ ตอนนี้มันเสร็จเรียบร้อยแล้วจะช้าอยู่ใย ได้โอกาสครบรอบขึ้นปีที่ 5 แล้วก็เปลี่ยนแปลงอีกสักอย่างให้มันสะใจไปเลย ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ละ มั่นใจซะอย่าง คิดว่าในการทำคลาสมัยซอร์คงต้องมีปัญหาอยู่บ้าง แต่มั่นใจว่ามันก็ต้องปรับปรุง สร้างความเข้าใจ และแก้ไขกันไป สุดท้ายแล้วผู้ฝึกทุกคนคงจะเข้าใจว่าทำไม “หนิง” ถึงอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสเรียนและสัมผัสกับคลาสนี้จริง ๆ

4 ปีแห่งความฝัน ก้าวสู่ปีที่ 5 ที่ทำฝันให้เป็นจริง ขอฝันถัดไปว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่จะพยายามค่ะ เพราะทุกคนย่อมมีฝัน แต่จะมีสักกี่คนที่ได้ทำตามฝัน อย่างน้อยที่ผ่านมาหนิงก็ฝันไปเรื่อย แต่ฝันก็เป็นจริงมาบาง ต้องฝันทิ้งขว้างไปบ้าง แต่ก็ภูมิใจนะคะ ที่ได้มีฝัน สร้างฝัน ปั้นจนมันเป็นจริงค่ะ….

แรงผลักดัน

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีเรื่องที่ทำให้หนิงค่อนข้างอัศจรรย์ใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มาเป็นอย่างมากค่ะ คือ มีคนมาเรียนโยคะกับหนิงแบบรายครั้ง แล้วหลังจบคลาสเรามีโอกาสได้คุยกัน เขาบอกว่าเขามาจากหัวหิน และจริง ๆ มีเพื่อนรุ่นน้องอีกคนที่อยากเจอ อยากมาฝึกโยคะกับหนิงมาก เพราะน้องเขาไม่สบาย และได้ติดตามบล็อคของหนิงอยู่ทำให้เขามีแรงบันดาลใจ มีแรงผลักดันในการฝึกโยคะ และตอนนี้อาการน้องเขาดีขึ้นมาก ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ได้ฝึกโยคะอยู่ เลยอยากเดินทางมาหาหนิงและมาฝึกกับหนิง ฟังครั้งแรกรู้สึกประหลาดใจมาก ว่าการระบายความรู้สึกของเราด้วยตัวอักษรบนโลกออนไลน์นี้ มันจะมีผลทำให้ใครบางคนมีแรงผลักดันได้ขนาดนั้น มันยิ่งใหญ่มากนะคะ

น่าจะประมาณวันเดียวหลังจากนั้น  หนิงก็ได้มีโอกาสได้คุยกับตัวจริงของน้องเขา เนื่องจากเป็นเรื่องส่วนตัวหนิงขอไม่กล่าวถึงอาการป่วยของน้องเขานะคะ ไม่น่าเชื่อว่า แค่การคุยกันในครั้งแรก เราพูดคุยกันเกือบชั่วโมงจากคนที่ไม่รู้จัก ไม่เคยคุยกัน เป็นความรู้สึกที่ดีมากสำหรับหนิง บอกเลยว่าตอนที่คุยอยากร้องไห้มาก มันเป็นอารมณ์ที่ไม่สามารถบรรยาย อธิบายอะไรใด ๆ ได้เลยค่ะ แต่หลังจากวางสาย ต่อมน้ำตาแตกอ่ะ 555555

แต่ในที่สุด ความฝันของเราทั้งสองคนที่จะได้เจอกันก็เป็นจริง ครั้งแรกที่เจอเรากอดกันแน่น หนิงไม่รู้หรอกนะคะว่าน้ำตาเขาออกหรือเปล่า แต่ของหนิงนี่นองเลยค่ะ อิอิ ตลอดเวลาที่เราได้เจอกัน ถึงแม้จะมีเวลาเพียงไม่กี่วัน เรากอดกันเกือบทุกวัน มันเป็นความรู้สึกอบอุ่น รู้สึกดี รู้สึกบอกไม่ถูก ซะงั้น

สิ่งที่หนิงถูกย้ำคือ น้องเขาบอกว่า มีอยู่บางช่วงที่หนิงเงียบหายไป เขาอยากโทรมาถามเหลือเกิน ว่าทำไมไม่เขียน ณ เวลานั้น คำพูดของสามีผุดขึ้นมาในหัวทันที เพราะคุณสามีเคยเตือนหนิงไว้ว่า

หนิงถ้าหนิงเขียนบล็อคและเริ่มมีคนติดตามแล้วสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือ ความมีวินัย มีความรับผิดชอบกับแฟนคลับ (อิอิ แอบใช้คำนี้เพราะรู้สึกดีอ่ะนะ เหมือนเป็นดังไงมะรุ 55555)

แต่บางครั้งก็ยอมรับตัวเองนะคะว่ามันไม่มีอารมณ์ และเรื่องที่อยากเขียนมันสุ่มเสี่ยงกับการกระทบต่อคนอื่น ทำให้ต้องยั้งคิดยั้งทำมาก คิดเยอะขึ้นจริง ๆ ค่ะ เพราะเราเริ่มเปลี่ยนสถานะตัวเองจากผู้เรียน ซึ่งปกติครูผู้สอนก็เป็นต่างชาติ อ่านภาษาไทยไม่ได้ สิ่งที่เราระบายออกก็ไม่มีผลกระทบใด ๆ คริคริ พอตอนนี้เราเป็นครูจะเขียนถึงผู้เรียน ผู้ฝึก คงไม่เหมาะสม เพราะแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถปรับความคิดใครได้ แค่ตัวเราเองยังเอาตัวลำบากเลยจริงไม๊ค่ะ

แรงผลักดันจากเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้น จนน่าจะเป็นตัวบังคับให้หนิงสานฝันอีกหนึ่งอย่าง ตอนนี้ขออุบไว้ก่อนนะคะ เพราะกลัวว่าถ้าบอกไปแล้วเราทำไม่สำเร็จ หรือมีคนรู้แล้วรอคอย มันจะทำให้ความรู้สึกหนิงแย่ แต่ค่อนข้างมั่นใจนะคะว่าจะทำให้ได้ และทำให้สำเร็จ เพราะเพิ่งได้คุยกับเพื่อนอีกคนว่าสิ่งที่ฝัน เขาบอกว่า

หนิง ทุกคนมีฝันนะ จะมีกี่คนที่จะสามารถทำฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ คำว่า “ฝัน” ไม่ใช่สิ่งที่จะบอกว่ามันประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่เราได้ทำมันแล้วต่างหาก

ฟังแล้ว ยิ่งมั่นใจที่จะก้าวต่อไป อิอิ ผลักกันไปให้สุด ๆ แหะแหะ

ขั้นบันไดของการฝึกโยคะ

จำได้ว่าเหมือนตัวเองเคยเขียนเรื่องนี้แล้ว แต่หาไม่เจอ หาหลายรอบละ ว่าแล้วก็เรียบเรียงใหม่ละกัน อาจไม่เหมือนเดิม แต่คิดว่าแนวทางคงใกล้กัน อิอิ

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

สำหรับตัวหนิงเองนะคะ หนิงขอแบ่งลำดับขั้นของการฝึกโยคะคร่าว ๆ ดังนี้ค่ะ

ขั้นแรก  เป็นขั้นที่เรียกว่า “การทดลอง การเข้าหา” จากคนที่ยังไม่เคยได้ฝึก ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโยคะ ก็เริ่มเข้ามาลองว่าเมื่อสัมผัสแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ลองโน่นลองนี่ไปเรื่อยเปื่อยตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น

ขั้นถัดมา  เป็นขั้นที่เรียกว่า “ช่วงของการคลั่งไคล้ หลงไหล” จากที่ได้ทดลอง เข้าหา เรียนรู้ ก็เริ่มที่จะจริงจังมากขึ้น อยากลองสิ่งใหม่ ๆ อยากลองท่ายาก มองว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย เรียกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ติดยากันเลยทีเดียว อิอิ

ขั้นต่อไปเป็นช่วงสำคัญมาก ๆ เป็นขั้นที่หนิงเรียกว่า “จุดเปลี่ยน” หลังจากที่ได้ลึกซึ้งกับอาสนะมาในระดับนึง เริ่มเรียนรู้ทฤษฎีมากขึ้น ได้พูดคุยกับผู้รู้ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครู หรืออ่านจากตำราต่าง ๆ ทำให้มุมมองในการฝึกโยคะเริ่มเปลี่ยนไป หรือบางทีก็อาจจะถึงขั้นเริ่มบาดเจ็บก็เป็นไปได้ ที่จะทำให้เกิดจุดเปลี่ยนนี้

ขั้นสุดท้าย เป็นขั้นที่หนิงเรียกว่า “ขั้นเข้าถึงแก่นของโยคะ” สำหรับหนิงตอนนี้ หนิงมองว่า แก่นของการฝึกโยคะคือการฝึกทั้งกายและใจ เราฝึกอาสนะเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เราฝึกใจเพื่อให้จิตใจเข้มแข็ง ซึ่งหากเรามีกายและใจที่ดี  เราก็จะสามารถสร้างความสุข เป็นที่พึ่งพิง พักพิง ให้กับคนใกล้ตัวได้เป็นอย่างดี

ทั้งหมดทั้งมวล หนิงแบ่งจากความเข้าใจและความคิดของตัวเองล้วน ๆ ซึ่งแต่ละคนจะอยู่ในขั้นไหนเป็นเวลาเท่าไหร่คงไม่สามารถบอกได้ เพราะมันเป็นความพึงพอใจของแต่ละคน และสิ่งที่หนิงแบ่งขั้นนี้ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าจะดีหรือไม่ดี หรืออยู่ขั้นไหนดีที่สุด เพียงแค่เป็นสิ่งที่หนิงมองเห็น ณ เวลานี้เท่านั้น

นมัสเต

บทเรียน หรือ เรียนรู้

เมื่อก่อนตอนฝึกโยคะใหม่ ๆ ตอนนั้นคุณสามียังไม่ได้ฝึกโยคะ แต่ตัวเขาเองเคยเห็นเวลาที่พวกเราฝึกกัน ซึ่งก็จะรู้สึกว่ามันดูทุกข์ทรมาน ดูเหนื่อยเอาการ ดูเหมือนจะโหดร้ายไปบ้าง เวลาที่หนิงมาฝึกโยคะเลยมักแซวว่า

ไปทำเพ็ญทุกขกิริยาเหรอ

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

แต่จริง ๆ เขาแซวกับหนิงคนเดียวนะคะ ไม่ได้มองว่าโยคะไม่ดี เพราะทุกวันนี้เจ้าตัวเองก็ฝึกโยคะมาได้ 2 ปีกว่าแล้ว และเท่าที่สังเกต ก็พอจะมีใจกับโยคะอยู่ในระดับนึงทีเดียวนะ อิอิ

เลยพอคิดถึงคำที่คุณสามีพูด ทำให้เข้าใจเลยว่า บางครั้งการฝึกโยคะอยู่ที่เราฝึกแล้วเราได้อะไร

เราได้เรียนรู้ เรียนรู้กับร่างกาย ลมหายใจ การเคลื่อนไหว การกำหนดจิต ขณะที่เราฝึก

  • ได้เรียนรู้ว่าร่างกายตัวเองว่าไหวแค่ไหน แต่ละวันจริง ๆ แล้ว เราจะฝึกโยคะได้ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากันเลย บางวันก็รู้สึกว่าตัวเบา ยืดหยุ่นได้ดี กำลังเยอะ แต่บางวันก็แทบจะฝึกอะไรไม่ได้มาก ตัวตึง แข็ง แรงไม่มี ซึ่งเมื่อรับรู้ร่างกายแบบนี้แล้ว ก็มาดูว่าวันนี้ร่างกายได้เพียงเท่านี้ก็ฝึกแค่พอดี ไม่หักโหมที่จะต้องฝึกให้ได้เหมือนกับวันที่เราร่างกายพร้อม นอกจากนั้นแล้ว ยังต้องรับรู้ว่าร่างกาย 2 ข้างเราก็ยังไม่เท่ากันเลย แล้วเราจะไปทำให้เท่ากับคนอื่น ๆ ได้อย่างไร สิ่งที่ควรทำคือควรพยายามฝึกให้ 2 ข้างสมดุลกัน และเมื่อวันไหนร่างกายมีอาการบาดเจ็บไม่ว่าจากอะไรก็ควรรู้จักหลีกเลี่ยง ลดหรืองดการใช้อวัยวะส่วนนั้น
  • รับรู้ว่าขณะนี้หายใจเข้า-ออก ได้ลึกแค่ไหน หรือหายใจถี่ ๆ เพราะท่าเริ่มยาก บิดตัวเยอะ ทำให้เราหายใจลำบากขึ้น แล้วเราจะต้องหายใจให้ลึกขึ้นอย่างไร
  • รับรู้ถึงการเคลื่อนไหว ว่าเราเคลื่อนไหวอย่างไร เราเคลื่อนไหวโดยการใช้กล้ามเนื้อที่ถูกส่วนหรือไม่ เช่นเวลาก้าวเท้าหากเราใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องช่วยก็จะทำให้ลดแรงกระแทกของฝ่าเท้า ข้อต่อต่าง ๆ ไม่ใช่ใช้แค่ข้อต่อกับกล้ามเนื้อขาลาก ๆ ไป แหะแหะ พอนึกภาพออกป่าวค่ะ แล้วเราเคลื่อนไหวเร็วหรือช้าเกินไป เมื่อเรียนรู้ว่าขณะที่เคลื่อนไหวจะต้องทำภายใน 1 ลมหายใจ เราก็ต้องมาดูประกอบกันทั้งการเคลื่อนไหวและลมหายใจให้สมดุลนั่นเอง
  • รับรู้ถึงการกำหนดจิต เพราะหากเราเป็นผู้ที่มีสติอยู่กับตัว เราจะต้องรับรู้ได้ว่า ณ ขณะนี้ จิตเราอยู่กับการฝึกโยคะนะ ไม่ได้คิดเรื่องอื่น หากคิดเรื่องอื่นไปแล้วก็ดึงมันกลับมาให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด แม้กระทั่งจิตไม่ได้ไปในไกล วนเวียนอยู่ในห้องเพราะมัวสังเกตคนอื่นอยู่ก็ต้องดึงให้กลับมาอยู่กับตัวเองให้ได้

สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ตัวเราเองต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง  ไม่มีใครสามารถบอกให้เรากำหนดมันได้ นอกจากได้เพียงแค่แนะนำ เพราะตัวเราคือผู้ปฏิบัติและควบคุม

แต่หากเราฝึกโยคะแล้วเราคิดว่าเราอยากเรียนรู้ แต่จริง ๆ มันคือความอยากรู้ว่าร่างกายตัวเองเราจะทำได้ไห๊ม ไม่ฝึกก็ไม่รู้สินะ ไม่ลองก็ไม่ได้สัมผัส ไม่ฝึกประจำแล้วจะไปทำได้ยังไง คนอื่นทำได้ทำไมเราจะทำไม่ได้ต้องได้เหมือนเขาสักวันนั่นแหละ อยากเรียนรู้การฝึกอาสนะให้มากกว่านี้โดยเฉพาะท่าที่ยาก ๆ โหด ๆ เมื่อไหร่ถึงจะทำได้สักที อิอิ แต่สิ่งที่เราได้อาจจะเป็น “บทเรียน” จากการฝึกโยคะแทน อยู่ที่บทเรียนนั้นจะราคาแพงแค่ไหนเท่านั้นเอง แต่บทเรียนนี้แค่แลกกับร่างกายที่เราอาจจะต้องเสียไป มันอาจจะไม่ได้หนักหนาอะไรมากนะคะ แค่จริง ๆ แล้วเราสามารถฝึกโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลยเท่านั้นเองค่ะ

ดังนั้น อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ลองถามตัวเองกันดูนะคะว่า  วันนี้เราฝึกโยคะเพื่อเป็น “บทเรียน หรือ เรียนรู้” ตัวเราเท่านั้นที่เป็นผู้เลือก….

โยคะบำบัด(จิต)

บอกเลยจริง ๆ โยคะช่วยบำบัดจิตได้นะ

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

หลาย ๆ ครั้งที่หนิงมีเรื่องที่ต้องคิด มีปัญหาที่ทำให้ขุ่นใจ ยอมรับนะคะว่าเมื่อก่อนก็ต้องใช้เวลา หาวิธีระบายมากมาย แต่ส่วนใหญ่วิธีที่ทำให้คลายได้ก็คือ ได้พูด ๆ บ่น ๆ พ่น ๆ ออกไป ยิ่งเยอะยิ่งหาย 5555 ซึ่งหากเราไม่เลือกคนฟังบางครั้งก็อาจจะส่งผลไม่ดีกลับมาได้เหมือนกัน แต่ก็โชคดีที่ส่วนใหญ่หนิงมักจะเลือกคน แต่ถามว่ามีบ้างไม๊ที่หลุด แหะแหะ ก็จังหวะนั้นอ่ะนะ มันก็ห้ามใจตัวเองยากเหมือนกันก็ไม่ปฏิเสธว่ามีบ้างนั่นแหละ

หลังจากได้มารู้จักโยคะ แรก ๆ หนิงก็ไม่สามารถนะคะ เพราะยังเป็นคนที่ “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” สูงมาก ไม่สามารถบังคับใจตัวเองให้อยู่บนผืนเสื่อได้เลยในช่วงที่เกิดเรื่องใหม่ ๆ (เพราะปกติแล้วเป็นคนที่ไม่ได้เครียดนานนัก อิอิ)  ช่วงหลัง ๆ ก็เริ่มดีขึ้นสามารถควบคุมตัวเองได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่สุด จนกระทั่งตอนนี้ หนิงรู้สึกตัวเองได้อย่างชัดเจนเลยว่า ตั้งแต่ได้เป็น “ครูสอนโยคะ” เวลาที่ได้สอน มันทำให้เราลืมทุกอย่าง ลืมเรื่องที่คิดค้าง ๆ คา ๆ ไว้ ลืมปัญหาที่แก้ไม่ตก ไม่น่าเชื่อเลย ว่าการสอนโยคะช่วยบำบัดจิตเราได้ด้วย ไม่ใช่ได้ธรรมดานะ เรียกว่า “ได้ดี” เลยทีเดียว

เท่าที่มอง น่าจะเป็นเพราะ การสอนเราต้องมีสมาธิ มีสติกับตัวเองมาก ๆ ไม่งั้นสิ่งที่เราต้องพูด ต้องบอก มันมีโอกาสบอกผิดได้ง่าย ๆ เพราะนอกจากต้องจำท่า บอกรายละเอียดการเข้าท่า ยังต้องบอกซ้าย-ขวา ให้ถูก ไหนจะเรื่องลมหายใจอีก ไหนต้องคอยสอดส่องนักเรียนที่ต้องเข้าไปจัดท่าให้อีก ทำให้ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นเลยละ 555555

อะไร…ถูก

คำถามว่า

ท่านี้ที่ถูกต้องทำยังไงค่ะครู?

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

บอกเลยเป็นคำตอบที่ถือว่าตอบค่อนข้างยากสำหรับหนิงมาก จริง ๆ หนิงพูดง่าย ๆ ไปแค่ว่า

ไม่มีอะไรถูก อะไรผิด หรอกนะ สิ่งที่ควรทำก็คือ ดูว่าร่างกายตอนนี้ทำได้แค่ไหนก็สมบูรณ์อยู่ที่จุดนั้น ณ วันนี้นั่นแหละ แค่ให้รู้ว่ามันควรจะต้องไปทำงานกับส่วนไหนในการฝึกท่านั้น และไม่ควรทำในสิ่งต้องห้ามเท่านั้นเอง

เชื่อไห๊มว่า สิ่งที่เราตอบไปง่าย ๆ แบบนั้น มันอาจจะทำให้ใครหลาย ๆ คน ทั้งงง รวมไปถึงไม่พอใจกับคำตอบก็ได้ หนิงเลยบอกว่ายากสำหรับการตอบคำถามนี้จริง ๆ ค่ะ แต่ก็มักจะตอบออกไปแบบนี้บ่อย ๆ เหมือนกัน  อยู่ที่ว่ารูปประโยคจะเป็นอย่างไรเท่านั้น

แต่หนิงมีเหตุผลกับคำตอบนั่นนะคะ เพราะหากหนิงถามกลับไปว่า มีใครบอกได้ไห๊มค่ะว่าสิ่งที่ถูกต้องจริง ๆ คืออะไร เชื่อไห๊มค่ะว่า บางครั้งท่าเดียวกันการฝึกในรูปแบบของโยคะที่ต่างกันก็ให้ความสำคัญกับอาสนะที่ฝึกแตกต่างกันไป แม้กระทั่งรูปแบบการฝึกที่เป็นรูปแบบเดียวกันก็ยังขึ้นกับครูผู้ที่ฝึกให้กับเราอีกว่า เขาเลือกที่จะใช้วิธีการไหนกับเรา เพราะครูแต่ละคนก็คงไม่ได้เรียนกับครูเพียงคนเดียว หรือแม้จะเรียนกับครูคนเดียวก็แล้วแต่ แต่การแตกฉานกับสิ่งที่เรียนรู้อาจจะมีข้อแตกต่างไปบ้างกับต้นฉบับ ซึ่งหนิงเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ให้มานั่งคุยกันว่าใครเป็นต้นแบบใครก็คงว่ากันไม่จบ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้หนิงได้เรียนรู้มาวิถีโยคะเอง หากเราได้เข้าไปอยู่ในสังคมโยคะที่หลากหลาย ก็เหมือน ๆ กันกับสังคมอื่น ๆ เราเองก็ต้องเลือกคน เลือกที่เหมือนกัน ไม่ได้บ่งบอกว่าการที่อยู่ในสังคมโยคะแล้วทุกคนจะอยู่ในรูปแบบที่เราคาดหวังทั้งหมด หนิงไม่ได้มองว่าสังคมนี้ไม่ดีนะคะ แค่บอกว่าก็ไม่ได้แตกต่างกับสังคมอื่นเท่านั้น อิอิ (ออกนอกเรื่องอีกละ) แค่จะบอกว่าผู้ที่เรียนรู้มาในแบบของตนก็ย่อมจะมองว่าสิ่งที่ตนเองเรียนรู้มาดีแล้ว แน่แล้ว และเมื่อเกิดการยึดติดเช่นนี้ คุณ ๆ ก็ลองคิดดูเองแล้วกันนะคะ ว่าจะหาความถูกต้องจากตรงไหน…

นี่แหละค่ะ คือสิ่งที่หนิงกำลังจะบอกว่า เวลาที่เราฝึกอาสนะแค่เราได้เรียนรู้ว่าอาสนะนี้ ควรทำงานกับข้อต่อ กล้ามเนื้อส่วนไหนบ้าง อย่างไร ต้องหายใจเข้า-ออก ช่วงไน และเราใช้สมาธิในการฝึกเพื่อรับรู้ว่าเรารู้สึกถึงการใช้งานเหล่านั้นตามที่รู้มาแล้วหรือยัง เราอาจจะไม่สามารถยืดขาได้ตรง (ไม่ได้พูดถึงอาสนะในรูปนะคะ) แต่ ณ วันนี้เราใช้ความพยายามในการยืดขา โดยที่หลังยังตรงอยู่แล้วใช่หรือไม่ หรือเรายืดขาตรงโดยที่หลังเราโค้งงออยู่ การรับรู้เช่นนี้ต่างหากที่จะเป็นตัวบอกว่า เราได้ทำงานกับร่างกายเราถูกต้องแล้ว และ ณ วันนี้ หากเราไม่สามารถที่จะยืดหลังให้ตรงพร้อมกับการเหยียดขาให้ตรงได้ เราก็ต้องรู้ว่าเราจะเลือกหลังหรือเลือกขาให้ตรงก่อนละสำหรับความรู้ที่เรามี เราก็ทำตามนั้นแล้วรอเวลาให้ร่างกายพัฒนาไป ไม่มีใครบอกได้ว่าเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับการฝึกและการพัฒนาของร่างกายจริง ๆ แต่ต้องถามต่ออีกว่า แล้วจำเป็นไห๊มละ ที่ต้องทำให้ได้เหมือนกับคนอื่น ๆ หรือกับที่ดูในรูป หากร่างกายวันนี้เราได้แค่นี้ เพราะหากเราฝืนมากเกินไป พยายามที่จะให้ครูหรือเพื่อนช่วยหรือแม้กระทั่งผลักดันตัวเองมากเกินไป คงไม่พ้น…การบาดเจ็บ อย่างแน่นอน

วันนี้ หนิงขอแค่มาบอกนะคะว่า

ไม่มีคำว่า “ถูก” หรือ คำว่า “ผิด” ในการฝึกอาสนะ

แค่ต้องรู้ว่าเรารู้หลักการในการฝึกหรือยังเท่านั้น อิอิ  หลายคนอ่านแล้วอาจจะยังงงอยู่บ้างสำหรับเรื่องนี้ ไว้จะมาอธิบายเพิ่มในเรื่องต่อๆ ไปนะคะ

ภูมิใจจัง…

วันนี้ มานั่งนึก ๆ เรื่องความหลัง (แหะแหะ อย่าเพิ่งบอกว่าแก่นะ มาดูหน้ากันก่อน 5555) รู้สึกขึ้นมาเลยว่าภูมิใจจังแหะ เพราะอย่างน้อยเราก็เป็นเรือลำนึงที่ช่วยถ่อให้กับใครหลาย ๆ คน มีการพัฒนาขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพที่ดีขึ้น  เรื่องการฝึกโยคะที่ดีขึ้น จนถึงขั้นที่สามารถไปเป็นครูกันบ้างแล้วก็มี  หรือได้ช่วยเหลือเรื่องงานกับบางคนบ้างก็ดี หรือแม้กระทั่งกับบางคนที่ได้พูดถึงเรื่องแง่คิดต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างมั่นใจตัวเองในระดับนึงนะว่าอย่างน้อยเราก็เป็นคนที่สามารถให้คำปรึกษากับคนอื่นๆ ได้ในระดับนึง

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

แม้ว่าตัวหนิงเอง อาจจะไม่ใช่ตัวหลักที่ทำให้เขาเหล่านั้นพัฒนาขึ้น ดีขึ้น แต่บอกแล้วไงว่าเรือลำเล็ก ๆ ลำนี้อย่างน้อยก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้เรามีความภาคภูมิใจของเราเองลึก ๆ  ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะรู้สึกหรือไม่ก็ตามว่าเราก็เคยเป็นผู้ให้กับเขาเหล่านั้น แต่สำหรับหนิงเองบอกได้เลยว่า หัวใจบานมาก เวลาที่มีคนมากบอกว่าร่างกายเขาดีขึ้น หรือได้รับข่าวสารว่าเขามีความก้าวหน้าทางด้านโยคะ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการฝึกอาสนะ หรือความก้าวหน้าทางสายอาชีพก็ตาม …. เหตุเพราะ “ทำด้วยรัก สอนด้วยใจ” มั่ง อิอิ

เหมือนไม่สนใจ…อิอิ

ตั้งแต่หนิงเริ่มฝึกโยคะมา จริง ๆ แล้วก็ตั้งแต่ที่ฝึกเป็นครูแบบจริง ๆ จัง ๆ กับครูสุนีย์ในรูปแบบศิวะนันดะก่อนที่จะมาฝึกรูปแบบอัษฏางคโยคะแล้วนะคะ ทั้งสองแบบจะเป็นการฝึกในแบบที่ต่างคนต่างฝึกตามความสามารถของตัวเอง ตามร่างกายของแต่ละคน ซึ่งวันแรก ๆ เราจะได้ฝึกเพียงไม่กี่ท่าเท่านั้น หลังจากนั้นครูก็จะมาค่อย ๆ เพิ่มท่าขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามที่เราสามารถจำได้ และฝึกได้ ซึ่งแน่นอนต้องใช้เวลาในการฝึกพอสมควรค่ะ

Healthy Ning Yoga Phuket (โยคะครูหนิงภูเก็ต)

จนกระทั่งตอนนี้หนิงมาเป็นผู้สอนแล้ว เนื่องจากตัวเองชอบในรูปแบบที่เคยฝึก คือ ถ้าเป็นของอัษฎางคโยคะก็ที่เรียกกันว่าคลาสมัยซอร์นั่นแหละ ทำให้อดไม่ได้ที่ยังคงเอารูปแบบการฝึกแบบนี้เข้ามาด้วย ซึ่งเป็นการผสมรูปแบบของ Led  กับ Mysore  อยู่ในคลาสเดียวกัน เพราะนักเรียนบางคนไม่ชอบท่า บางคนก็เพิ่งมาฝึก หากทำคลาส Mysore ทั้งคลาสอาจจะเป็นอุปสรรคได้ แต่หากมีนักเรียนใหม่เข้ามาในคลาสบ่อย ๆ ก็อาจจะเป็นอุปสรรคกับนักเรียนเก่าด้วยในระดับนึง จึงมองว่าการสอนในรูปแบบผสมเหมาะแล้วสำหรับการเปิดสตูโยคะของตัวเอง

เหตุก็เกิดตรงนี้นี่แหละค่ะ เพราะพอถึงช่วงที่แยกย้ายกันไปฝึกในคลาส mysore ผู้ฝึกจะต้องจำท่าได้เอง และหนิงจะให้ท่าตามที่เราเห็นว่าร่างกายของผู้ฝึกเหมาะสมที่จะฝึกได้แล้ว เข้าใจนะคะว่าผู้ฝึกบางท่านเห็นเพื่อน ๆ ในคลาสบางคนมาพร้อมกัน บางคนมาทีหลัง เขาได้ฝึกท่าใหม่ ๆ ทำให้ตัวเองอาจจะรู้สึกท้อแท้ไม่อยากมาฝึก หรือบางทีอาจจะแอบโกรธผู้สอนอยู่ลึก ๆ ก็เป็นไปได้นะ ว่าไม่สนใจ ไม่ให้ความสำคัญกับเขา เคยมีเหมือนกันนะคะที่บางคนขอฝึกเลยในบางท่า หรือบางคนไม่สอนก็ไม่เป็นไรถามเพื่อนเอาเองก็ได้ บางครั้งหนิงเองก็จะดุเหมือนกันนะคะ เพราะเราคิดว่าความปลอดภัยในการฝึกเป็นเรื่องสำคัญ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งตัวเองในการฝึก หากพลาดพลั้งหรือร่างกายยังไม่พร้อมอาจจะส่งผลเสียกับร่างกายมากกว่าที่จะส่งเสริมได้ หนิงมั่นใจนะคะ ว่าหนิงมีหลักเกณฑ์ของตัวเองในการมองผู้ฝึกพอสมควร

จริง ๆ ไม่อยากจะคุยเลยว่า แม้กระทั่งการขึ้นท่ายืนด้วยศีรษะ ผู้ฝึกที่ปฏิบัติตามที่หนิงแนะนำ หนิงกล้าบอกเลยว่า เขาแทบไม่ล้มในคลาสเลยด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่เขายืนด้วยศีรษะกลางห้องแล้ว เพราะหากมีการเตรียมความพร้อมของร่างกายและฝึกอย่างเป็นขั้นตอน ไม่เร่งรีบ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฝึกแล้วให้ล้มลงเอาหลังกระแทกพื้นแต่อย่างใด หรือแม้กระทั่งบางท่าที่หนิงจะให้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้พร้อมก่อนแล้วค่อยฝึกเข้าท่าก็เพื่อเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อ เวลาเริ่มฝึกเข้าท่าจะได้ไม่บาดเจ็บ…